การรักษาทางการแพทย์ของอาการหูตึง

หูตึง

หูตึงเป็นอาการที่เกิดจากการสะท้อนเสียงในหู โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นหลังจากได้รับเสียงรบกวนหรือเสียงดังเกินไป เช่นการฟังเพลงในระดับความดังสูง การอยู่ใกล้เครื่องรถไฟ หรือการอยู่ใกล้กับเครื่องจักรกลที่ดังมาก อาการของหูตึงสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ หูตึงชั่วคราว (Temporary tinnitus) ซึ่งเป็นการระบบของร่างกายในการปกป้องตัวเองจากเสียงดังๆ และจะหายไปเมื่อได้พักผ่อนให้หูพักตัวจนเสียงคลี่คลายลง และหูตึงเรื้อรัง (Chronic tinnitus) ซึ่งเป็นการระบบที่ไม่หายไปได้ และมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

การวินิจฉัยและการรักษาอาการหูตึง

การวินิจฉัยหูตึงจะใช้เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น การทำ hearing test เพื่อวัดระดับเสียงที่ผู้ป่วยได้รับ หรือ CT scan เพื่อตรวจสอบสุขภาพของหูและระบบประสาท การรักษาหูตึงจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การรักษาโดยไม่ใช้ยา (Non-pharmacological treatment) Sound therapy: เป็นการใช้เสียงเพื่อลดอาการหูตึง โดยใช้เสียงที่มีความถี่ต่างๆ และระดับความดังที่ต่างกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการชดเชยเสียงหูตึง Cognitive-behavioral therapy (CBT): เป็นการใช้ทฤษฎีจิตวิทยาในการช่วยผู้ป่วยรับมือกับอาการหูตึง โดยจะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล Tinnitus retraining therapy (TRT): เป็นการใช้เสียงเพื่อช่วยผู้ป่วยฝึกการเข้าใจและปรับตัวให้เหมือนกับเสียงหูตึง ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับผลกระทบจากอาการหูตึงอีกต่อไป และการรักษาโดยใช้ยา (Pharmacological treatment) สารลดความอักเสบ (Anti-inflammatory drugs): เช่น aspirin, ibuprofen เป็นต้น ยาระบายปวด (Analgesic drugs): เช่น paracetamol ยารักษาโรคหู (Otological drugs): เช่น corticosteroids, vasodilators เป็นต้น

วิธีการการป้องกันอาการหูตึง

จะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถป้องกันอาการหูตึงได้ด้วยตนเอง ซึ่งการป้องกันหูตึงสามารถทำได้โดยไม่ฟังเพลงในระดับความดังสูงเกินไป ใช้หูฟังที่มีระบบควบคุมระดับเสียง หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับเครื่องจักรกลที่ดังมาก การสวมหูฟังกันเสียงรบกวน (Earplugs) เพียงเท่านี้อาการหูตึงก็จะไม่มาเยือนหูของคุณแล้วล่ะ

ท้ายนี้ หูตึงเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่ได้รับเสียงรบกวนหรือเสียงดังเกินไป การวินิจฉัยหูตึงจะใช้เครื่องมือทางการแพทย์ และการรักษาหูตึงจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือการรักษาโดยไม่ใช้ยาและการรักษาโดยใช้ยา การป้องกันหูตึงสามารถทำได้โดยไม่ฟังเพลงในระดับความดังสูงเกินไป การใช้หูฟังที่มีระบบควบคุมระดับเสียง หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับเครื่องจักรกลที่ดังมาก และการสวมหูฟังกันเสียงรบกวน (Earplugs) และนี่คือบทสรุปของการวินิจฉัยและการรักษาอาการหูตึง และวิธีการการป้องกันอาการหูตึงนั่นเอง